
ทะยานต่อ หรือ สัญญาณพักฐาน?
ในปี 2025 ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากปลายปี 2024 ที่ผ่านมา ทองคำสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้หลายครั้ง ล่าสุด ราคาทองคำแท่งในตลาดไทยเปิดที่ 52,150 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ แม้จะอยู่ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ทองคำก็ยังคงครองสถานะสินทรัพย์ปลอดภัยอันดับต้น ๆ ที่นักลงทุนและธนาคารกลางในหลายประเทศให้ความไว้วางใจ
แรงหนุนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังราคาทองคำเวลานี้ มาจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้ทองคำมีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่เริ่มมีสัญญาณว่าอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี หากเป็นจริงจะช่วยลดต้นทุนการถือครองทองคำและส่งแรงเสริมให้ราคาทองยิ่งไปต่อได้อีก แต่ในทางกลับกัน หาก FED เปลี่ยนท่าทีและชะลอการลดดอกเบี้ยออกไป ทองคำก็อาจเผชิญแรงขายจากนักลงทุนที่เริ่มมองหาสินทรัพย์อื่นแทน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2025 สหรัฐฯ และญี่ปุ่นได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าครั้งใหญ่ โดยสหรัฐฯ ยินยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าญี่ปุ่นจาก 25% เหลือ 15% ขณะที่ญี่ปุ่นก็ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ เป็นมูลค่าสูงถึง 550,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมเปิดตลาดนำเข้าสินค้าอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ข้าว หรือสินค้าเกษตรมากขึ้น
ดีลนี้ส่งผลต่อบรรยากาศตลาดในทันที ราคาทองคำสปอตทั่วโลกร่วงลงเล็กน้อย 0.3% มาอยู่ที่ระดับ 3,421 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากระดับที่ใกล้จุดสูงสุดในประวัติการณ์ ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกลับดีดตัวแรง นักลงทุนเริ่มกล้ารับความเสี่ยงมากขึ้น ดัชนี Nikkei ปรับขึ้นชัดเจนหลังประกาศข่าวข้อตกลงนี้
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ต้องจับตาในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ยังมีอีกหลายด้าน โดยเฉพาะท่าทีของ FED หากมีการลดดอกเบี้ยจริง ก็จะส่งผลบวกอย่างชัดเจนต่อทองคำ แต่หากชะลอหรือเปลี่ยนทิศทาง ก็อาจทำให้ราคาทองสะดุดได้
ในอีกด้านหนึ่ง ความตึงเครียดระหว่างประเทศ เช่น ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย–ยูเครน และสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ยังเป็นตัวเร่งให้นักลงทุนเลือกถือทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางในหลายประเทศก็ยังเดินหน้าสะสมทองคำไว้ในทุนสำรองเงินตรา เพิ่มบทบาทของทองคำในระบบการเงินโลกอย่างต่อเนื่อง
ค่าเงินดอลลาร์ก็เป็นอีกตัวแปรสำคัญ หากดอลลาร์ยังอ่อนค่าลง จะยิ่งช่วยให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นได้ง่ายขึ้น เพราะนักลงทุนจากประเทศอื่นจะสามารถเข้าซื้อทองคำได้ในราคาที่ถูกลง ส่วนราคาน้ำมันและแนวโน้มเศรษฐกิจจีนก็ยังมีผลกระทบโดยตรงต่ออัตราเงินเฟ้อและดีมานด์ทองคำทั่วโลก หากเศรษฐกิจจีนกลับมาเติบโตชัดเจน หรือราคาน้ำมันขยับสูงขึ้นอีก ก็อาจผลักดันให้ราคาทองคำเดินหน้าต่อได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาทองคำยืนอยู่ในระดับสูงก็ไม่ได้แปลว่าปลอดความเสี่ยง นักลงทุนที่คิดจะเข้าซื้อในช่วงนี้จำเป็นต้องประเมินสถานการณ์ให้รอบด้าน เพราะหากปัจจัยบวกหมดลง หรือธนาคารกลางสหรัฐกลับลำในทิศทางดอกเบี้ย ก็มีโอกาสเห็นแรงขายทำกำไรได้ทุกเมื่อ
กลยุทธ์ที่เหมาะสมในตอนนี้คือการติดตามปัจจัยสำคัญอย่างใกล้ชิด ทั้งนโยบายของ FED การเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ ท่าทีของประเทศมหาอำนาจ และสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลก การทยอยเข้าสะสมทองเมื่อมีจังหวะพักฐาน พร้อมกำหนดสัดส่วนในพอร์ตให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของแต่ละคน ยังคงเป็นแนวทางที่มีความยืดหยุ่นและช่วยลดแรงกระแทกจากความผันผวนได้ดี
ในปีนี้ เกมของทองคำไม่ใช่แค่เรื่องราคา แต่มันกำลังสะท้อนภาพรวมของระบบเศรษฐกิจโลกอย่างลึกซึ้ง ใครที่ติดตามข้อมูลเท่าทัน รู้จักวางแผนและบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ ย่อมมีโอกาสคว้าโอกาสในช่วงเวลาที่ตลาดเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเช่นนี้
