
1 สิงหาคม 2025 คือเส้นตายที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดให้ประเทศต่าง ๆ ต้องลงนามข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ หากไม่ทันตามกำหนด จะถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงทันที จุดประสงค์ที่ประกาศคือการลดการขาดดุลการค้า แต่หากพิจารณาให้ลึก จะเห็นว่า ทรัมป์ไม่ได้ใช้มาตรการนี้เท่ากันกับทุกประเทศ
ประเทศอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม เป็นกลุ่มที่เจรจาเร็ว ตกลงลดภาษีเหลือ 15–20% และยินดีลงทุนในสหรัฐฯ หลายแสนล้านดอลลาร์ ทรัมป์ตอบแทนด้วยดีลที่ดูเป็นมิตรและจบลงด้วยดี
ในขณะที่สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป แม้จะเจรจาหนัก มีการขอข้อยกเว้นสินค้าบางประเภท แต่ก็สามารถจบดีลได้ภายในเวลาที่กำหนด ภาษีถูกปรับลด พร้อมเปิดช่องให้เจรจาต่อเพิ่มเติม
ตรงข้ามกับอินเดียและเม็กซิโก ซึ่งยังไม่มีข้อสรุป อินเดียถูกมองว่ากีดกันสินค้าสหรัฐฯ หนักที่สุด จึงโดนภาษี 25% พร้อมบทลงโทษเสริม ส่วนเม็กซิโกถูกขยายเวลาอีก 90 วัน แต่ไม่มีแนวโน้มชัดเจนว่าจะจบดีลได้ง่าย
สำหรับไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย แม้จะถูกประกาศว่า “บรรลุข้อตกลง” แล้ว แต่รายละเอียดข้อตกลงกลับยังไม่ถูกเปิดเผย ซึ่งอาจสะท้อนถึงบทบาททางภูมิรัฐศาสตร์ที่สหรัฐฯ ยังเลือกเก็บไว้เป็นเครื่องต่อรอง
จีนยังคงเป็นกรณีพิเศษ แม้ไม่มีข้อตกลงถาวร แต่ก็เข้าสู่ช่วงพักศึก ลดภาษีลงทั้งสองฝ่าย และเตรียมเจรจารอบใหม่ในวันที่ 12 สิงหาคม
หากวิเคราะห์จากภาพรวม ทรัมป์ดูจะไม่ได้ต้องการแค่ภาษี หากแต่ต้องการเครดิตทางการเมือง เม็ดเงินลงทุน และอำนาจในการตั้งกติกาใหม่ของระบบการค้าโลก การใช้ภาษีจึงไม่ใช่แค่เครื่องมือเศรษฐกิจ แต่คือกลไกการต่อรองเพื่อจัดระเบียบโลกใหม่…โดยมีสหรัฐฯ เป็นคนถือไพ่
