
Jamie Dimon ซีอีโอของธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan Chase ได้ออกมาเตือนตลาดการเงินในเวทีที่ดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2025 ว่า ตอนนี้ตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “หยิ่งผยอง” (complacent) หรืออาจกล่าวได้ว่า “หลงตัวเองเกินไป” กับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะในเรื่องของภาษีนำเข้าและทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ
Dimon ระบุว่าตลาดกำลัง “ด้านชาต่อความเสี่ยง” หรือ “desensitized” เนื่องจากนักลงทุนไม่แสดงปฏิกิริยาต่อความเสี่ยงมากนัก ทั้งที่ในช่วงเวลานี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศแผนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาสูงถึง 35% และกำลังพิจารณาภาษีนำเข้าแบบทั่วถึงในระดับ 15-20% ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการที่อาจสร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
สิ่งที่น่าสนใจคือ ท่ามกลางนโยบายที่อาจสร้างความผันผวนต่อการค้าโลก แต่ตลาดหุ้นกลับปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนี S&P 500 ทำสถิติสูงสุดใหม่ ขณะที่ Bitcoin ก็พุ่งทะลุระดับ 118,000 ดอลลาร์ไปแล้วในปีนี้ นักลงทุนบางส่วนจึงเริ่มเชื่อในสิ่งที่เรียกว่า “TACO Trade” หรือ “Trump Always Chickens Out” ซึ่งแปลว่า “ทรัมป์ขู่ไว้ก่อน แต่สุดท้ายไม่กล้าทำจริง” ความเชื่อนี้สะท้อนว่าตลาดกำลังเดิมพันว่า ทรัมป์จะไม่กล้าบังคับใช้นโยบายภาษีจริง ๆ จนสร้างผลกระทบเชิงลึกต่อเศรษฐกิจ
ในขณะเดียวกัน สินทรัพย์เสี่ยงกลับยิ่งพุ่งแรง หุ้นเทคโนโลยีอย่าง Nvidia กลายเป็นบริษัทแรกที่มีมูลค่าตลาดทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนหุ้นในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์อื่น ๆ เช่น AMD และ Arm Holdings ก็เติบโตอย่างแข็งแกร่งไม่แพ้กัน สำหรับตลาดคริปโตเอง Bitcoin เติบโตถึง 24% ในปีนี้ โดยมีแรงหนุนจากความต้องการของสถาบันการเงินและสัญญาณสนับสนุนจากนโยบายทรัมป์ที่ดู “เป็นมิตรต่อคริปโต” มากกว่าครั้งก่อน ๆ
แม้ว่า Jamie Dimon จะเป็นผู้ที่เคยวิจารณ์ Bitcoin อย่างเปิดเผยในอดีต แต่ในความเป็นจริง JPMorgan กลับเดินหน้าสู่โลกสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างชัดเจน โดยประกาศอนุญาตให้ลูกค้าสามารถซื้อ Bitcoin ได้ผ่านแพลตฟอร์มของธนาคาร และยอมรับ Bitcoin ETF เป็นหลักประกันสำหรับเงินกู้ Dimon เปรียบเปรยสถานการณ์นี้ว่า “ผมไม่คิดว่าคุณควรสูบบุหรี่…แต่ผมก็ปกป้องสิทธิ์ของคุณในการสูบ” ซึ่งสะท้อนถึงการแยกแยะระหว่างมุมมองส่วนตัวกับความต้องการของลูกค้า
นอกจากความเสี่ยงจากนโยบายภาษี Dimon ยังกล่าวว่า ตลาดกำลังประเมินความเสี่ยงเรื่องดอกเบี้ยต่ำเกินไป โดยตลาดประเมินว่าโอกาสที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้อยู่ที่ 20% แต่เขาเชื่อว่า “ความจริงอาจอยู่ที่ 40-50%” ปัจจัยที่สนับสนุนแนวคิดนี้ ได้แก่ แรงกดดันเงินเฟ้อจากต้นทุนการนำเข้า การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล และความตึงตัวของตลาดแรงงานที่เกิดจากการจำกัดการย้ายถิ่น
Dimon ยังเตือนว่า นโยบายภาษีนำเข้าอาจไม่ใช่แค่เพิ่มภาระให้กับสินค้าจากต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังจะส่งผลต่อราคาสินค้าในประเทศด้วย เพราะต้นทุนการผลิตของธุรกิจอเมริกันจะสูงขึ้น ซึ่งสุดท้ายจะสะท้อนออกมาในรูปของ “เงินเฟ้อที่ฝังลึกกว่าเดิม” และหากปล่อยให้เงินเฟ้อปะทุขึ้นมาในช่วงที่ดอกเบี้ยยังไม่ลดลง เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวเร็วกว่าที่หลายคนคาด
อีกประเด็นที่เขาแสดงความกังวลคือ บทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำเศรษฐกิจโลกอาจถูกสั่นคลอน หากนโยบายของทรัมป์ทำให้ต่างชาติรู้สึกว่าอเมริกา “ไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่น่าสนใจในการลงทุนอีกต่อไป” Dimon ชี้ว่า หากความสัมพันธ์กับพันธมิตรระยะยาวเสื่อมถอยลง บทบาทของ “ดอลลาร์” ในฐานะสกุลเงินสำรองโลกก็อาจไม่มั่นคงอย่างที่เคยเป็นมา
แม้ตลาดหุ้นและ Bitcoin จะดูสดใส แต่ดัชนีความผันผวนของตลาด (VIX) กลับอยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ แสดงให้เห็นว่านักลงทุนกำลังมองข้ามสัญญาณเตือนสำคัญ Dimon ทิ้งท้ายว่า หากนักลงทุนไม่เตรียมรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ให้ดี การปรับฐานของตลาดในรอบต่อไปอาจเกิดขึ้นแบบ “ไม่ทันตั้งตัว” และเจ็บกว่าที่คาดไว้มาก
