
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้จุดประกายความตึงเครียดทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศอีกครั้ง
ด้วยการส่งจดหมายอย่างเป็นทางการไปยังผู้นำของหลายประเทศพันธมิตร ทั้งในเอเชียและยุโรป อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย ลาว และเมียนมา
เพื่อเตือนว่าหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้ทันภายในวันที่ 1 สิงหาคม 2025 สหรัฐฯ จะเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าในอัตราที่สูงถึง 25–40%
นี่คือการเปิดฉากสงครามการค้ารอบใหม่ ที่ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่จีนเพียงประเทศเดียวอีกต่อไป แต่ขยายวงกว้างไปยังพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ ด้วย
ทรัมป์กลับมา พร้อมอาวุธเดิมที่แรงกว่าเดิม
ทรัมป์อ้างว่าการขาดดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศพันธมิตรหลายแห่งนั้น “ไม่ยุติธรรม” และ “สร้างภาระต่อคนอเมริกัน”
ทำให้ต้องใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือกดดันให้คู่ค้าเจรจาต่อรองใหม่ เพื่อให้เกิดสมดุลการค้าที่เขามองว่ายุติธรรมมากขึ้น
ภาษีที่กำลังจะถูกใช้ไม่ได้จำกัดแค่สินค้าอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่รวมถึงรถยนต์ อะลูมิเนียม เหล็ก สินค้าเกษตร และเทคโนโลยีด้วย
ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ไม่พอใจ แต่ยังไม่ตอบโต้
รัฐบาลญี่ปุ่นแสดงความ “ผิดหวังอย่างยิ่ง” กับท่าทีของทรัมป์ โดยระบุว่านี่ไม่ใช่แนวทางที่พันธมิตรควรปฏิบัติต่อกัน
ขณะที่เกาหลีใต้กำลังเร่งจัดประชุมภายในเพื่อประเมินผลกระทบ พร้อมเปิดประตูเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้แบบเต็มรูปแบบ
ทั้งสองประเทศต่างอยู่ในสถานะที่อ่อนไหว เพราะเศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกมายังสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง
หากมาตรการภาษีถูกบังคับใช้จริง อาจทำให้ภาคอุตสาหกรรมจำนวนมากต้องเร่งย้ายฐานการผลิต หรือสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
จีนสวนกลับทันควัน พร้อมใช้ “มาตรการเท่าเทียม”
ฝั่งจีนไม่รอให้เกิดข้อสรุปเสียก่อน กระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศว่า หากสหรัฐฯ เดินหน้าเก็บภาษีเพิ่มเติม
จีนจะตอบโต้ทันทีด้วยมาตรการที่ “เหมาะสมและสัดส่วนเท่าเทียม” โดยไม่ระบุรายละเอียดชัดเจน แต่สื่อท้องถิ่นคาดการณ์ว่าอาจรวมถึงการจำกัดการส่งออกแร่หายาก หรือจำกัดการเข้าถึงตลาดของบริษัทอเมริกันในจีน
ความเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นว่า จีนเรียนรู้จากสงครามการค้าเมื่อปี 2018–2019 และพร้อมจะตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์มากกว่าแค่ภาษี
ตลาดการเงินเริ่มสะเทือน
ดัชนีหุ้นในเอเชียเริ่มปรับตัวลดลงทันทีหลังข่าวจดหมายของทรัมป์ โดยเฉพาะในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ตลาดหุ้นสูญมูลค่ารวมกันไปกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ภายในวันเดียว
ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 3,300 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยนักลงทุนแห่เข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และน้ำมัน ก็มีความผันผวนสูงตามความกังวลด้านภาษีและการเปลี่ยนแปลงของซัพพลายเชน
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “หนีไม่พ้นวงล้อม”
แม้ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนจะไม่ใช่เป้าหมายหลักในอดีต แต่คราวนี้กลับได้รับจดหมายด้วยเช่นกัน
โดยมีรายงานว่าทรัมป์พิจารณาขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากลาวและเมียนมาถึง 40% ขณะที่ของไทยอยู่ที่ 36% ซึ่งทำให้ภาคส่งออกไทย โดยเฉพาะยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเกษตรกรรม ต้องเตรียมรับมืออย่างเร่งด่วน
บทสรุป: โลกกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนอีกครั้ง
การใช้ “จดหมาย” เป็นเครื่องมือเปิดเกมเจรจาของทรัมป์ อาจดูเหมือนเป็นกลยุทธ์เดิม ๆ แต่รอบนี้ความแตกต่างคือการขยายขอบเขตการกดดันจากจีนไปยังพันธมิตรอื่น ๆ ซึ่งทำให้ตลาดโลกสั่นไหวกว่าครั้งก่อน
หากภายในเดือนกรกฎาคมนี้ยังไม่มีสัญญาณการเจรจาที่ชัดเจน นักลงทุนอาจต้องเตรียมรับมือกับความผันผวนระลอกใหม่ ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่สงครามภาษี แต่จะลุกลามไปถึงซัพพลายเชน การเมืองระหว่างประเทศ และสมดุลอำนาจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
สงครามการค้าครั้งใหม่นี้ ไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งเชิงเศรษฐกิจ แต่กำลังกลายเป็นเวทีต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์รอบใหม่ของทรัมป์
ซึ่งหากจีนตอบโต้รุนแรง และพันธมิตรเอเชียไม่ยอมถอย เกมนี้อาจพัฒนาเป็นวิกฤตที่กระทบราคาทองคำ ค่าเงิน และเสถียรภาพของตลาดโลกอย่างแท้จริง
อย่าคิดว่า “จดหมาย” คือแค่กระดาษหนึ่งแผ่น…
เพราะมันอาจเขียนเส้นแบ่งของสงครามเศรษฐกิจครั้งใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว
