
วันที่ 9 กรกฎาคม 2025 กำลังจะเป็นวันชี้ชะตาการค้าระหว่างสองเศรษฐกิจใหญ่ของโลก คือ สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป (EU)
เพราะถ้าทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าได้ทันเวลา สินค้านำเข้าจากยุโรปจะต้องเผชิญกับภาษีที่อาจพุ่งสูงถึง 50% ตามคำขู่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
นี่ไม่ใช่คำขู่เล่น ๆ เพราะทรัมป์เคยประกาศเก็บภาษี 10% กับสินค้านำเข้าจากยุโรปไปแล้วในเดือนเมษายนที่ผ่านมา พร้อมกับขีดเส้นตาย 90 วัน หากเจรจาไม่คืบหน้า อัตราภาษีจะพุ่งขึ้นทันทีเป็น 50%
เสียงวิจารณ์จากทั่วโลกทำให้ทรัมป์ยอมขยายเส้นตายออกไปเป็นวันที่ 9 กรกฎาคม หลังพูดคุยกับอูร์ซูลา ฟอน เดอร์ ไลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปที่ขอเวลาเพิ่มเพื่อเจรจา
แต่จนถึงตอนนี้ สัญญาณว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงเชิงลึกได้ทันเวลาก็ยังดูริบหรี่
ฝั่งยุโรปยื่นข้อเสนอ Zero-for-Zero หรือการยกเลิกภาษีสินค้าทางอุตสาหกรรมระหว่างกันทั้งหมด พร้อมแสดงความตั้งใจจะซื้อก๊าซ LNG สินค้าเกษตร และเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ มากขึ้น เพื่อรักษาสมดุลทางการค้า
แต่ฝั่งสหรัฐฯ ต้องการมากกว่านั้น ทรัมป์ไม่เพียงต้องการลดขาดดุลการค้ากับยุโรป แต่ยังต้องการให้ EU ลดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อบริษัทอเมริกันที่เข้าไปทำธุรกิจในยุโรปด้วย
ขณะเดียวกัน ภายใน EU ก็ยังเห็นไม่ตรงกัน บางประเทศ เช่น ฝรั่งเศสและไอร์แลนด์ กังวลว่าถ้าต้องยอมรับภาษีขั้นพื้นฐาน 10% เหมือนที่อังกฤษเคยทำ จะกลายเป็นการเสียเปรียบเชิงโครงสร้าง จึงเสนอว่าต้องมีมาตรการชดเชยภาษีเพื่อตอบโต้กลับอย่างสมดุล
สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะสหรัฐฯ และยุโรปมีมูลค่าการค้าสินค้ารวมกันสูงถึง 851,000 ล้านยูโร โดยยุโรปเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 198,000 ล้านยูโร
Bloomberg คาดการณ์ว่า หากทรัมป์เก็บภาษี 50% จริง จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าการค้าสินค้าสูงถึง 321,000 ล้านดอลลาร์ และอาจทำให้ GDP ของสหรัฐฯ หายไปถึง 0.6% พร้อมกับดันราคาสินค้าในประเทศเพิ่มขึ้นอีก 0.3%
กลุ่มธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องจักร และอาหารที่ต้องพึ่งพาการค้าข้ามชาติในระดับสูง
ถ้าหากการเจรจาไม่สามารถหาข้อสรุปได้ทันเส้นตาย ทรัมป์อาจเริ่มกระบวนการจัดเก็บภาษีในทันทีภายในเดือนสิงหาคม โดยมีรายงานว่าเอกสารเตรียมเก็บภาษีกับ 12 ประเทศได้ลงนามเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่ยุโรปเองก็ไม่ได้ยอมนิ่งเฉย ล่าสุดได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าหากถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่มเติม ยุโรปก็พร้อมจะตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีชุดใหญ่เช่นกัน
แม้ยังมีความหวังว่าทั้งสองฝ่ายอาจทำ “ข้อตกลงเฉพาะหน้า” เพื่อซื้อเวลาไปสู่การเจรจาเชิงลึกในอนาคต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญอย่างยานยนต์และเคมีภัณฑ์ แต่หลายฝ่ายมองว่าข้อตกลงเต็มรูปแบบภายในเวลาที่เหลืออยู่นั้น “แทบเป็นไปไม่ได้”
เส้นตายครั้งนี้ไม่ใช่แค่เกมการค้า แต่เป็นการปะทะกันระหว่างนโยบาย America First ของทรัมป์ กับ Single Market ที่เป็นหัวใจสำคัญของยุโรป
ถ้าหาทางออกไม่ได้ โลกอาจต้องเจอกับสงครามภาษีครั้งใหม่ ที่จะกระทบเศรษฐกิจมหภาคในวงกว้าง และอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่แน่นอนอีกครั้งในระบบการค้าโลก
คำถามคือ…ยุโรปจะยอมถอย หรือทรัมป์จะเดินหน้าบดขยี้?
