
ในขณะที่หลายคนกำลังดีใจกับดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ที่พุ่งทำสถิติใหม่ แต่เบื้องหลังการพุ่งขึ้นครั้งนี้ มีหลายปัจจัยที่ซับซ้อน และอาจกลายเป็นกับดักสำหรับคนที่ตามไม่ทันเกม
เกิดอะไรขึ้น?
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา S&P 500 พุ่งทะยานเกิน 6,150 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับเป็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
โดยในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน ดัชนี S&P 500 ฟื้นตัวขึ้นมามากกว่า 20% ขณะที่ Nasdaq 100 ก็สร้างสถิติใหม่ในรอบ 4 เดือน ส่วน Dow Jones กระโดดขึ้นวันเดียวกว่า 400 จุด สะท้อนถึงแรงซื้อที่กลับมาอย่างร้อนแรง
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตลาดพุ่งขึ้นแบบนี้ มาจากข่าวใหญ่ที่ “ทรัมป์จับมือจีน” โดยทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราวได้ในที่สุด ข้อตกลงนี้นำไปสู่การลดภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกันทันที และเปิดโอกาสให้การเจรจาในระยะยาวยังเดินหน้าต่อไป
ข้อตกลงนี้แม้จะเป็นเพียง “การพักรบชั่วคราว” ที่จะมีผลเพียง 90 วัน แต่ก็เพียงพอที่จะเรียกความมั่นใจของนักลงทุนให้กลับมาในทันที
ในขณะเดียวกัน กระแสข่าวที่ทำให้ตลาดตื่นเต้นไม่แพ้กัน คือข่าวลือที่ว่าประธานาธิบดีทรัมป์อาจพิจารณาเปลี่ยนตัวประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) แทน Jerome Powell
ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง อาจส่งผลต่อทิศทางดอกเบี้ยในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ เพราะคนใหม่ที่ทรัมป์เลือก อาจเป็นคนที่เอื้อต่อการลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์กันในตอนนี้
ปัจจุบันตลาดกำลังคาดหวังว่า Fed อาจเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอาจลดต่อเนื่องไปจนถึงปี 2027 หากสถานการณ์เอื้ออำนวย
อีกปัจจัยที่ช่วยเสริมแรงบวกให้ตลาดคือ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่คลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว หลังอิสราเอลและอิหร่านประกาศหยุดยิง
ราคาน้ำมันที่เคยพุ่งสูงจากความกังวลเรื่องสงครามก็ปรับตัวลดลงทันทีจาก 81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลงมาอยู่ที่ระดับ 66-68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ซึ่งการลดลงของราคาน้ำมันช่วยคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อทั่วโลก และเป็นอีกแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นต่อเนื่อง
ในขณะนี้ หุ้นที่เป็นหัวใจของตลาด คือ Nvidia ซึ่งกลับมาครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกอีกครั้ง แซงหน้า Microsoft และ Apple ไปอย่างสง่างาม
นักวิเคราะห์บางสำนักประเมินว่า Nvidia อาจโตต่อไปจนถึงมูลค่าตลาด 6 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2028 จากพลังของเทรนด์ AI ที่ยังคงเติบโตไม่หยุด บวกกับการลงทุนใน Data Center ที่กำลังขยายตัวทั่วโลก
ความต้องการลงทุนใน AI และโครงสร้างพื้นฐาน Data Center ยังคงแข็งแกร่งในหลายประเทศทั่วโลก
นักลงทุนหลายเจ้าทุ่มเงินมหาศาลสร้าง Data Center ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ความท้าทายใหม่ก็กำลังมาเยือน เพราะโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในหลายพื้นที่ยังไม่รองรับอย่างเพียงพอ บางแห่งต้องใช้เวลานานถึง 4 ปีในการต่อสายไฟแรงสูง
ซึ่งกลายเป็นปัญหาคอขวดที่ทำให้ผู้พัฒนา Data Center ต้องหันมาให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่มีพลังงานเพียงพอ มากกว่าที่จะมองแค่ราคาหรือขนาดของพื้นที่
แม้ว่าตลาดจะดูเหมือนอยู่ในขาขึ้นที่แข็งแกร่ง แต่นักวิเคราะห์บางกลุ่มเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่อาจจะสูงเกินไปเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน ความเสี่ยงที่ยังคงซ่อนอยู่ในเกมนี้
ได้แก่ ความไม่แน่นอนของข้อตกลงการค้าสหรัฐ-จีน ซึ่งอาจกลับมาแตกหักได้ทุกเมื่อ ความเสี่ยงเรื่องการเปลี่ยนตัวประธาน Fed ที่อาจสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้ตลาด รวมถึงความท้าทายของโครงสร้างพลังงานที่อาจทำให้การขยายตัวของ Data Center สะดุดลงได้
เกมนี้ดูเหมือนง่าย แต่มันอาจซับซ้อนกว่าที่หลายคนคิด นักลงทุนในช่วงนี้ จึงไม่ควรโลภเกินไป และไม่ควรกลัวเกินไป ที่สำคัญ ต้องมองเกมให้รอบ แล้วค่อยเดิน
