
สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน กลับมาระอุอีกครั้ง…
แม้จะมีข้อตกลงผ่อนปรนภาษี 90 วัน
แม้จะมีข่าวว่า สหรัฐฯ และจีนสามารถตกลง “พักเบรกภาษีชั่วคราว” ได้เป็นเวลา 90 วัน
แต่เบื้องหลังบรรยากาศที่ดูเหมือนคลี่คลายนั้น กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและมาตรการตอบโต้ที่ซ่อนอยู่ในเงามืด ทั้งสองฝ่ายยังคงเดินเกมรุกทางวาทกรรมอย่างเข้มข้น
โดยเฉพาะในประเด็นที่อ่อนไหวอย่างเทคโนโลยีขั้นสูงและชิปเซมิคอนดักเตอร์
รัฐบาลจีนเพิ่งออกมาประกาศว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับบุคคลหรือองค์กรใดก็ตามที่ช่วยเหลือสหรัฐฯ ในการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีของจีน
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ เองก็เคยออกคำเตือนทั่วโลกว่าใครใช้ชิปของ Huawei อาจเข้าข่ายละเมิดกฎการส่งออก
แม้ภายหลังจะมีการถอนคำเตือนนั้นออกไปก็ตาม แต่สิ่งที่สะท้อนชัดคือ “เทคโนโลยี” กำลังกลายเป็นแนวรบใหม่ที่ทั้งสองมหาอำนาจไม่ยอมถอยให้กันแม้แต่นิ้วเดียว
ผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่ในโต๊ะเจรจา หากแต่เริ่มลุกลามไปสู่ภาคธุรกิจจริง ๆ อย่างเห็นได้ชัด
ตัวเลขการส่งออก iPhone และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จากจีนไปยังสหรัฐฯ ในเดือนเมษายน ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 14 ปี
ขณะที่ท่าเรือลอสแอนเจลิส ศูนย์กลางขนส่งสินค้าหลักของอเมริกา มียอดขนส่งลดลงถึง 30% สะท้อนแรงสั่นสะเทือนที่เริ่มกระทบห่วงโซ่อุปทานของทั้งระบบ โดยเฉพาะในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค
ยักษ์ค้าปลีกอย่าง Walmart และ Target เริ่มส่งสัญญาณปรับขึ้นราคาสินค้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะต้นทุนจากภาษีกำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ประธานาธิบดีทรัมป์ถึงกับออกมาเรียกร้องให้บริษัทเหล่านี้ “ดูดซับต้นทุนเอง” แทนที่จะผลักภาระไปยังผู้บริโภค
แต่ในความเป็นจริง ไม่มีบริษัทไหนที่ดูดซับต้นทุนได้ตลอดไป สุดท้ายคนที่ต้องควักเงินมากขึ้นก็คือผู้บริโภคทุกคน
เสียงเตือนเริ่มดังขึ้นจากผู้บริหารระดับสูงในภาคการเงิน Jamie Dimon แห่ง JPMorgan และ Jane Fraser จาก Citigroup ต่างแสดงความกังวลว่า ตลาดกำลังประเมินผลกระทบของสงครามภาษีต่ำเกินไป
บริษัทจำนวนมากเริ่มเบรกแผนลงทุนทันที เพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่านโยบายภาษีจะเปลี่ยนแปลงอีกเมื่อไหร่ หรือจะพุ่งเป้าไปที่ประเทศไหนในลำดับต่อไป
สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อรัฐบาลทรัมป์ประกาศชัดเจนว่า จะเริ่มกำหนดอัตราภาษีใหม่กับประเทศคู่ค้าแบบ “รายประเทศ” ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยให้เหตุผลว่าการเจรจาพร้อมกันกับทุกประเทศเป็นไปไม่ได้
และหากไม่สามารถตกลงกันได้ทันในช่วงเวลาที่ “พักเบรก” นี้ อัตราภาษีจะกลับมาใช้ตามโครงสร้างที่สหรัฐฯ เคยเสนอไว้
เช่น จีน 34% เวียดนาม 46% และยุโรป 20% ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนใหม่ต่อระบบการค้าโลกอีกระลอก
ผลสำรวจจากนักเศรษฐศาสตร์โดย Reuters ชี้ชัดว่า กว่า 55% เชื่อว่านโยบายภาษีของรัฐบาลทรัมป์สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ
แม้การผ่อนปรนด้านภาษีในระยะสั้นจะช่วยลดโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยลงเล็กน้อย แต่โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสถานะทางการคลังของสหรัฐฯ ยังเปราะบางเช่นเดิม
ด้านตลาดหุ้นก็ไม่รอด หุ้นเทคโนโลยีและค้าปลีกร่วงทันทีหลังมีข่าวมาตรการภาษีใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Amazon, Nvidia, Tesla หรือ Target ต่างเผชิญแรงขาย
เพราะนักลงทุนประเมินว่าผลกำไรจะถูกกดดันจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับความไม่แน่นอนในระยะยาวที่ทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดเริ่มสั่นคลอน
สงครามนี้จึงไม่ใช่แค่การต่อสู้ด้วยภาษี แต่คือการต่อสู้ด้วยความไม่แน่นอน ความหวังที่ว่า “ทุกอย่างจะกลับสู่ภาวะปกติ” กำลังถูกแทนที่ด้วยคำถามใหม่ว่า “ปกติแบบเดิมจะกลับมาได้จริงหรือ?”
เพราะในเกมที่เต็มไปด้วยความเปราะบางเช่นนี้ ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ สุดท้ายแล้วผู้แพ้อาจเป็นทั้งระบบเศรษฐกิจโลกก็เป็นได้
