
“แค่เงินไหลออกจากสหรัฐ 0.5% ทองก็อาจพุ่งทะลุ $6,000” — นี่คือประเด็นที่ JPMorgan เพิ่งหยิบยกขึ้นมาสั่นสะเทือนตลาดการเงินโลก
แม้จะเป็นเพียงสมมติฐาน แต่ก็เป็นสมมติฐานที่หลายคนในวอลสตรีทไม่กล้าละเลย
เพราะเบื้องหลังมันคือแนวโน้มเชิงโครงสร้างที่น่ากังวลอย่างยิ่ง นั่นคือการที่นักลงทุนต่างชาติเริ่ม “หมดศรัทธา” กับสินทรัพย์ในสหรัฐฯ
และกำลังมองหาทางหนีทีไล่ใหม่ — ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายหลักที่ถูกจับตาคือทองคำ
สิ่งที่ JPMorgan ชี้ให้เห็นก็คือ หากนักลงทุนทั่วโลกเพียงแค่ “ลดการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ ลงเพียง 0.5%” แล้วหันเอาเงินก้อนนั้นไปเก็บในทองคำแทน ราคาทองคำก็อาจพุ่งทะยานขึ้นไปแตะ $6,000 ต่อออนซ์ได้ไม่ยาก
ซึ่งตัวเลข 0.5% นี้แม้จะดูเล็กน้อยในแง่เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าคิดเป็นเม็ดเงินจริง ๆ แล้วมันคือการเคลื่อนย้ายระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ — เม็ดเงินที่มากพอจะพลิกตลาดโลกได้ทั้งกระดาน
ช่วงหลังนี้เอง คุณเริ่มเห็นสัญญาณชัดเจนขึ้นว่าความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังถูกตั้งคำถาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนี้สาธารณะที่ทะยานขึ้นอย่างไม่มีหยุด การชะลอตัวของเศรษฐกิจ หรือแม้แต่แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้ดอลลาร์เริ่มไม่มั่นคงเหมือนที่เคยเป็น
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางของหลายประเทศ โดยเฉพาะจีน รัสเซีย และกลุ่ม BRICS ก็ทยอยสะสมทองคำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้บทบาทของทองในระบบการเงินโลกเริ่มกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง
แม้ราคาทองในตอนนี้จะอยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์แล้ว ทว่าสิ่งที่ตลาดกำลังประเมินไม่ใช่แค่ปัจจัยในวันนี้ แต่คือ “กระแสเงินทุน” ที่อาจเปลี่ยนทิศในอนาคต
หากเฟดยังคงส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน หรือค่าเงินดอลลาร์ยังคงอ่อนต่อเนื่อง
นักลงทุนจำนวนไม่น้อยอาจเริ่มปรับพอร์ตเพื่อป้องกันความเสี่ยงระยะยาว และนั่นจะเป็นแรงผลักสำคัญที่หนุนราคาทองคำให้พุ่งขึ้นต่อไปได้อีกหลายระลอก
ฉะนั้นถ้า “ความไม่แน่นอน” กลายเป็นเรื่องธรรมดาในโลกยุคใหม่ และ “ความมั่นใจในดอลลาร์” เริ่มถูกแทนที่ด้วย “ทองคำ” แม้เพียงบางส่วน ก็อาจเพียงพอจะทำให้ราคาทองคำไปไกลกว่าที่ใครเคยคาดคิดไว้มาก
