
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีเงินทุนมหาศาลไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติที่ทยอยซื้อหุ้นญี่ปุ่นต่อเนื่องยาวนานถึง 13 สัปดาห์ติดต่อกัน นี่ถือเป็นการซื้อที่ต่อเนื่องที่สุดนับตั้งแต่ยุค Abenomics เมื่อปี 2013 หรือกว่า 12 ปีที่แล้ว
แรงซื้อรอบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบไม่มีเหตุผล เพราะนักลงทุนทั่วโลกกำลังเผชิญกับโจทย์ใหม่ หลังจากหุ้นสหรัฐฯ พุ่งแรงในปี 2024 จนทำให้หลายคนเริ่มกังวลว่าสินทรัพย์ในตลาดสหรัฐฯ อาจจะแพงเกินไป และมีความเสี่ยงสะสมอยู่มากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อโอกาสในสหรัฐฯ เริ่มลดน้อยลง นักลงทุนจึงต้องมองหาตลาดใหม่ที่ราคายังน่าสนใจ และญี่ปุ่นก็ดูจะเป็นคำตอบในตอนนี้
สิ่งที่น่าสนใจคือ การเข้าซื้อของต่างชาติในครั้งนี้ไม่ได้มาเพียงเพราะราคาถูก แต่ยังมีเรื่องของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่เริ่มส่งผลต่อตลาดโลกด้วย การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเก็บภาษีศุลกากรใหม่เมื่อต้นปี 2025 ทำให้เกิดแรงกดดันต่อตลาดหุ้นบางกลุ่มในสหรัฐฯ จนเงินทุนบางส่วนเริ่มเคลื่อนย้ายไปยังตลาดที่ดูปลอดภัยกว่า
แม้ว่าภายหลังจะมีการชะลอการเก็บภาษีบางรายการ แต่เมื่อนักลงทุนเห็นว่าราคาหุ้นญี่ปุ่นย่อตัวลงกลางเดือนเมษายน จึงรีบเข้าเก็บทันที กลายเป็นแรงซื้อที่ต่อเนื่องและผลักดันให้ดัชนี TOPIX ขยับขึ้นจนเกือบแตะจุดสูงสุดใหม่ในรอบหลายปี
สิ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นยิ่งน่าสนใจในสายตานักลงทุน คือ เศรษฐกิจภายในประเทศที่เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว กำไรบริษัทจดทะเบียนออกมาดีต่อเนื่อง และมีการปฏิรูปธรรมาภิบาลที่ทำให้บริษัทญี่ปุ่นเริ่มใส่ใจผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เงินเฟ้อที่เร่งตัวในช่วงต้นปี ยังทำให้ตลาดคาดว่าแบงก์ชาติญี่ปุ่น (BOJ) อาจจะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งจะเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่น
หลายคนอาจจะสงสัยว่ารอบนี้เหมือนกับยุค Abenomics หรือไม่? คำตอบคือ “ยังไม่ถึงขั้นนั้น” เพราะในยุค Abenomics นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นญี่ปุ่นติดต่อกันนานถึง 18 สัปดาห์ และมูลค่าการซื้อสูงกว่ารอบนี้ แต่หากดูจากแรงซื้อในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าใกล้เคียงและมีแนวโน้มจะไปต่อ
นักวิเคราะห์จาก Daiwa Securities ให้ความเห็นว่า การซื้อหุ้นญี่ปุ่นของนักลงทุนต่างชาติน่าจะเป็นเทรนด์ที่ดำเนินต่อเนื่องไปได้อีกเป็นปี เพราะตอนนี้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังดู “ไม่แพง” และยังเป็นโอกาสที่หลายคนเพิ่งเริ่มเข้าไปเก็บ
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยง เพราะนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญ หากสหรัฐฯ กลับมาปรับเพิ่มภาษีรอบใหม่ อาจกดดันตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ นอกจากนี้การขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ก็อาจทำให้ต้นทุนเงินเปลี่ยนไป และกระทบกับแรงซื้อบางส่วน
อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังของ 2025 นักลงทุนยังคาดหวังว่ากำไรบริษัทญี่ปุ่นจะออกมาดีต่อเนื่อง รวมถึงการปฏิรูปธรรมาภิบาลจะทำให้บริษัทในญี่ปุ่นบริหารธุรกิจโปร่งใสและสนับสนุนผลตอบแทนผู้ถือหุ้นมากขึ้น
ถ้าถามว่านักลงทุนกำลังมองอะไร? คำตอบคือพวกเขากำลังมองหา “โอกาสใหม่” และญี่ปุ่น… กำลังกลายเป็นคำตอบที่น่าจับตามองในเวลานี้
