
ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2025 สถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) พลิกผันอีกครั้ง
หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า “แนะนำ” ให้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจาก EU เป็น 50%
โดยให้เหตุผลว่า “การเจรจาการค้าไม่มีความคืบหน้า”
พร้อมระบุว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน
แม้จะยังเป็นเพียงถ้อยแถลง
แต่ตลาดการเงินตอบสนองทันที
• ดัชนีหุ้นเยอรมนีและอิตาลีร่วงเกือบ 3%
• ดัชนี Stoxx 600 ลดลงกว่า 2%
• Dow Futures ของสหรัฐฯ ดิ่งลงกว่า 500 จุด
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ ถูกจับตามองว่าอาจนำไปสู่ สงครามการค้าโลกครั้งใหม่
โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่า EU คือคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐฯ
ซึ่งมีมูลค่าการค้ารวมกันกว่า 900,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
การปรับขึ้นภาษีในระดับ “ประวัติการณ์”
อาจทำให้ต้นทุนสินค้าพุ่งสูง และกระทบห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
โดยเฉพาะในภาคยานยนต์ เทคโนโลยี และสินค้าเกษตร
ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างสองเศรษฐกิจขนาดใหญ่
สถานการณ์เช่นนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะ Stagflation
หรือภาวะเงินเฟ้อสูงควบคู่กับเศรษฐกิจชะลอตัว
ซึ่งอาจยืดเยื้อและบั่นทอนความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ปฏิกิริยาจากฝั่งยุโรป
คณะกรรมาธิการยุโรปออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันที
โดย Maros Sefcovic ระบุว่า “ความสัมพันธ์ทางการค้าควรตั้งอยู่บนความเคารพ ไม่ใช่การข่มขู่”
พร้อมย้ำว่า EU พร้อมปกป้องผลประโยชน์ของตนอย่างถึงที่สุด
ในเบื้องต้น EU เตรียมมาตรการตอบโต้ทางภาษีมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์
ขณะที่ผู้นำประเทศหลักในยุโรป เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์
แสดงจุดยืนชัดว่า ต้องการรักษาช่องทางการเจรจา
แต่จะไม่ยอมรับข้อเสนอที่เป็นฝ่ายเดียวจากสหรัฐฯ
ความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ
นอกเหนือจากการขู่ขึ้นภาษีนำเข้าจาก EU
ประธานาธิบดีทรัมป์ยังแสดงท่าทีพร้อมจะ ขึ้นภาษี iPhone ที่ผลิตนอกประเทศ 25%
เว้นแต่ Apple จะย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ
โดยนักวิเคราะห์มองว่าแนวคิดดังกล่าว “แทบเป็นไปไม่ได้”
และจะส่งผลให้ราคาสินค้าพุ่งสูงทันที
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังกล่าวหาว่า EU เอาเปรียบทางการค้าในหลายด้าน
ทั้งในเรื่องภาษีสินค้าเกษตร รถยนต์ และข้อจำกัดที่ไม่ใช่ภาษี
บทเรียนจากอดีต และแนวโน้มข้างหน้า
ประสบการณ์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนเมื่อปี 2018–2019
สะท้อนให้เห็นว่า มาตรการภาษีตอบโต้แบบต่อเนื่อง
อาจนำไปสู่ต้นทุนที่สูงขึ้นทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ
ส่งผลให้ราคาสินค้าขยับขึ้น และกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง
หากข้อพิพาทปัจจุบันระหว่างสหรัฐฯ และ EU ลุกลาม
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังโควิด-19 อาจสะดุด
และความไม่แน่นอนในเวทีการค้าระหว่างประเทศจะทวีความรุนแรง
สรุป
ข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจาก EU ในระดับ 50%
อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระดับโลก
ขณะที่ EU แสดงจุดยืนแข็งกร้าว พร้อมใช้มาตรการตอบโต้หากมีการดำเนินการจริง
ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการค้า การลงทุน และเสถียรภาพของตลาดโลกในระยะต่อไป
